อาหารให้ชีวิต ให้สุขภาพที่ดี
อาหาร ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่กินเข้าไปเพื่ออร่อย หรือสิ่งที่เรากินเข้าไปแล้วไม่ตาย อาหารมีความหมายมากกว่านั้น ดังคำกล่าวที่ว่า “อาหารคือชีวิต” อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสุขภาพ ทุกอย่างที่กินเข้าไปล้วนส่งผลต่อร่างกาย ธรรมชาติได้สร้างสรรค์อาหารสารพัดมาให้เราได้กิน ดื่ม อาหารที่เกิดจากธรรมชาติส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นไปที่ความสดใหม่อยู่เสมอ ฉะนั้นหากเรารู้จักเลือกกินแต่ของดี ๆ ก็ย่อมเป็นการเพิ่มพลังให้ชีวิตสดใสและอายุยืนยาว เป็นการดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตโดยอาศัยกระบวนการตามธรรมชาติให้มีความสมดุลของการพักผ่อน การออกกำลังกายและการกินอาหาร โดยที่ไม่ใช้ยาและสารเคมีในการบำบัดรักษา ซึ่งก็คือการใช้ “ธรรมชาติบำบัด” นั่นเอง
ภาพจาก https://www.google.co.th/อาหารตามหลักธรรมชาติบำบัด
Clean eating
หรือ อาหารตามหลักธรรมชาติบำบัด คือ “อาหารสด”
ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง ไม่ผ่านความร้อน หรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด
เน้นไปที่ผักและผลไม้สดเก็บใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารจากผักและผลไม้ได้อย่างเต็มที่
เวลาดีที่สุดสำหรับการรับประทานผักและผลไม้สด คือ
เวลาเช้าหลังจากร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
ผักและผลไม้สดจะช่วยเพิ่มความสดชื่น และไล่กากของเสียออกจากลำไส้ โดยพื้นฐานแล้วการกินอาหารตามธรรมชาติบำบัดมีหลักดังนี้
Ø ผักและผลไม้สด
Ø หากกินอาหารปรุงสุกควรเป็นอาหารปรุงสุกใหม่หรือปรุงไว้ได้ไม่เกิน
3 ชั่วโมง
Ø งดอาหารจำพวกเนื้อ นม และไข่
เพราะล้วนเป็นพิษต่อร่างกาย
Ø งดเว้นการกินอาหารสำเร็จรูป
อาหารกล่อง อาหารกระป๋อง
Ø งดเว้นอาหารรสจัด
Ø งดเว้นอาหารขยะทั้งหลาย เช่น
คุกกี้ เบเกอรี เค้ก อาหารทอดกรอบ ขนมคบเคี้ยว น้ำอัดลม อื่นๆ
การรับประทานอาหารตามแนวหลักธรรมชาติ
คือการทานแบบมังสวิรัติ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ หรือถ้าเรากลัวขาดโปรตีนก็สามารถรับประทานถั่วหรือธัญญาพืชต่างๆทดแทนได้ แถมยังเป็นตัวช่วยในการลดนำ้หนัก ทานแล้วไม่อ้วน ส่วนวิธีการปรุงอาหารนั้นเราก็เน้นการนึ่ง ต้ม หรือรับประทานสดๆ เรียกว่าให้ผ่านกระบวนการน้อยที่สุด
ไม่เน้นการปิ้ง ย่าง หรือทอด หลายคนคิดว่าอาหารของธรรมชาติบำบัดหมายถึงอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ บางครั้งอาหารมังสวิรัติก็ถือว่าเป็นอาหารขยะเช่นกัน
เนื่องจากมีส่วนประกอบที่ผ่านการดัดแปลงแปรรูป เช่น ไส้กรอกเจ ปลากระป๋องเจ
หรือแม้แต่อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วทิ้งไว้นานเกิน 3 ชั่วโมงก็นับเป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน
เพราะอาหารนั้นต้องปรุงด้วยของสด สะอาด ปราศจากสารเคมี
รวมถึงการดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
และควรกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และให้มีสารอาหารครบ 5
หมู่ ตัวอย่าง อาหารมังสวิรัติ เช่น
แกงเขียวหวาน น้ำพริกอ่อง ต้มยำเห็ด ฟรุตครีม (แทนไอศกรีม) และอื่นๆ
ภาพจาก https://www.maeban.co.th/สูตรอาหาร/2551
ภาพจาก ttps://sites.google.com/site/dongtantawan/
ในการรับประทานอาหารตามหลักของธรรมชาติบำบัด ต้องเลือกรับประทานให้สอดคล้องกับฤดูกาลเพื่อปรับสมดุลในร่างกายให้คงที่
เพราะในร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วย ธาตุ 4 ธาตุ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุลม
ธาตุน้ำ และธาตุไฟ ซึ่งธาตุแต่ละ
อย่างมีลักษณะและธรรมชาติที่แตกต่างกัน และธาตุทั้ง 4 ยังเป็นแหล่งกำเนิดของโรค
โรคจะเกิดกับธาตุใดธาตุหนึ่ง จะต้องมีธรรมชาติภายนอกมากระทบหรือมูลเหตุอื่น ๆ
( เช่น อาหาร อิริยาบถ อารมณ์ ฯลฯ) ทำให้เสียสมดุลจึง เกิดโรค
ฉะนั้นการเลือกรับประทานอาหารควรให้สอดคล้อง กับทั้ง 3 ฤดูกาล
ได้แก่ ดังนี้
การกินผลไม้ ควรกินให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย ถ้ากินมากจนเกินไป ผลไม้จะไม่กลายเป็นยาแต่จะเป็นเพียงสารอาหาร ไม่ควรกินผลไม้ปนกับข้าวเพราะกระเพาะต้องทำงานหนักมากในการหลั่งน้ำย่อ มีผลไม้ 2 ชนิดเท่านั้นที่ทานหลังอาหารได้คือ สับปะรด มะละกอ เพราะเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนได้
2. ฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน) เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนความเย็นจาก ธรรมชาติจะเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย จากความเย็นที่มากเกินไป ทำให้ร่างกายมักเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้หวัด อาการดังกล่าวสามารถป้องกัน ได้โดยอาหารรสขม รสเผ็ดร้อนหรือผักพื้นบ้านที่มีรสเผ็ดร้อน คือ ยอดพริก โหระพา ยี่หร่า แมงลัก กะเพรา เป็นต้น ผักและผลไม้เหล่านี้ ยังช่วยต้านหวัด อาหารที่มีวิตามินซีมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มคอลลาเจนและคาร์นีทีน ซึ่งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายทำให้ระบบการทำงานของสมองดีขึ้น อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม กีวี คะน้า ตำลึง กระเทียม เป็นต้น
ส้มช่วยลดภาวะความเครียด
คนที่มีความเครียด นอนไม่หลับ ก่อนนอนให้ลองกินส้ม 2 ผล ติดต่อกันหลายๆ วัน จะคลายความเครียดลงได้ดีทีเดียว ส้มช่วยป้องกันการเป็นอัมพาต
หากกินผลไม้ตระกูลส้มเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเป็นอัมพาตได้ด้วยนะ และส้มป้องกันท้องผูก เพราะกากใยในส้มช่วยในการขับถ่ายได้ดี
มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้เราท้องไม่ผูก ขับถ่ายง่าย คล่องสบาย
ภาพจาก http://kuvings.in.th/benefits-of-orange/
3. ฤดูหนาว (ตุลาคม-มกราคม) ส่วนฤดูส่วนสุดท้ายที่เราจะนำเสนอนั้น คือ ฤดูหนาว ความหนาวเย็นของธรรมชาติส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง หากร่างกายเราไม่อาจต้านทานได้จะทำให้ เกิดการเจ็บป่วย
และทำให้ผิวแห้ง มึนศีรษะ น้ำมูกไหล ท้องอืด อาหารที่เหมาะกับ คือ อาหารรสขมร้อน รสร้อน และรสเปรี้ยว
ผักพื้นบ้าน เช่น ข่าอ่อน กระชาย
พริกไทย ยอดพริก เป็นต้น เพราะรสขมร้อน ในสรรพคุณ ช่วยบำรุงร่างกาย ลดไข้
แก้เลือดเป็นพิษ ถอนพิษเบื่อเมา แต่ไม่ควรรับประทานมาก เพราะอาจทำให้
อ่อนเพลียได้ รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ปวดท้องได้ดี ส่วนผลไม้ที่เหมาะกับการรับประทานฤดูหนาว คือ สตรอว์เบอร์รี่ ที่อุดมด้วยวิตามินซี มีประโยชน์ต่อเหงือกและฟัน เมล็ดเล็ก ๆที่กระจายตามผลของสตรอว์เบอร์รี่จัดเป็นแหล่งไฟเบอร์อย่างดี นอกจากนี้ยังมี
โฟเลท โพแทสเซียม และแอนตี้ออกซิแดนท์ คุณค่าต่างๆ
เหล่านี้ทำให้ผลไม้ชนิดนี้ดีต่อสุขภาพของทุกคน เพราะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และมะเร็งชนิดต่าง ๆ
และนี่คือเหตุผลที่คุณควรกินสตรอว์เบอร์รี่
ภาพจาก https://health.kapook.com/view36013.html
จะเห็นได้ว่าการนำธรรมชาติบำบัดมาใช้ในช่วงเริ่มต้นอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนค่อนข้างมากในการดำรงชีวิต
เราจะเริ่มด้วยสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ เช่น เน้นทานผัก ผลไม้ งดเนื้อสัตว์
เป็นต้น แล้วค่อยๆเพิ่มหรือปรับพฤติกรรมอย่างอื่นไปเรื่อยๆ
ก็จะไม่ทำให้เรารู้สึกลำบากหรือยุ่งยาก ลองค้นหาวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง
เพื่อความสมดุลให้กับร่างกาย และสุขภาพที่ดีของตนเอง
นอกจากนั้นแล้วสิ่งหนึ่งที่ควรปรับ ไม่ว่าจะเป็นการ พักผ่อน การออกกำลังกาย
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
แบ่งตามฤดูเพื่อให้เหมาะสมกับการรับประทานอย่างถูกต้องตามวิถีของ “ธรรมชาติบำบัด”
แหล่งที่มา
ธรรมชาติบำบัด
กับอาหารตามฤดู
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://dherbsplus.wordpress.com/2016/10/25/ธรรมชาติบำบัด-กับอาหารตามฤดูกาล (วันที่สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2561)ธรรมชาติบำบัด รักษา กาย ใจ ด้วยกระบวนการทางธรรมชาติ
ใช้ธรรมชาติบำบัดพัฒนาคุณภาพชีวิต (Naturopathy)/ดร.แพง ชินพงศ์
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.manager.co.th/family/ViewNews. (วันที่สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2561)
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.manager.co.th/family/ViewNews. (วันที่สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2561)
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://clinicherbs.com/natural-therapy/ (วันที่สืบค้น 26 กุมภาพันธ์ 2561)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น